อิริยาบถสามัญและชัยชนะของเสรีนิยม: เขียนถึง Sunday on the Banks of the River Marne. 1930 — บทที่ 1)

Midyearstudy
3 min readJun 11, 2021

--

Henri Cartier-Bresson. Sunday on the banks of the river Marne.1938

จะว่าไปแล้วมันเป็นเรื่องราวธรรมดาสามัญที่พบได้ในสังคม การสื่อความตามภาพคงเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ โดยองค์รวม มันก็คือการพักผ่อน หรือปิกนิคกันของสามีภรรยาสองคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชื่อภาพ Sunday on the Banks of the River Marne (1938) ได้ทำการกำกับประทับตราความหมายอยู่ ผลกระทบของความรู้สึกนึกคิดที่บอกว่าวันอาทิตย์คือวันแห่งการพักผ่อนก็จู่โจมความเข้าใจในทันที ในขณะที่เราลืมไปว่าบุคคลทั้ง 4 คนในภาพ อาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กันฉันท์สามีภรรยา อาจจะเป็นพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะไม่รู้จักกันมาก่อนเลย และเมื่อพิจารณาในแง่ของสัมพันธภาพระหว่างคนสี่คนที่ไม่ได้ปรากฏอย่างโจ่งแจ้งในภาพ จะเห็นได้ว่าความหมายในภาพจะเปลี่ยนแปลงไปตามความสัมพันธ์ที่เรา “เพิ่มเติม” เข้าไปโดยการกำหนดจากมุมมองและกรอบความคิดหรือทัศนคติที่สั่งสมมา

ในตำราตีความภาพถ่ายอย่าง Camera lucida (1980) โรลองต์ บาร์ธส์ กล่าวว่าการถ่ายภาพถูกหลอกหลอนจากจิตวิญญาณของจิตรกรรม และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ซึ่งภาพ Sunday on the Banks of the River Marne (1938) ของ Henri Cartier-Bresson ศิลปินชาวฝรั่งเศสก็มีส่วนของความคล้ายคลึงกับงานจิตรกรรมจำพวกอิมเพรสชั่นนิสม์ หรือโพสต์-อิมเพรสชั่นนิสม์อยู่ก้ำกึ่งกัน เช่น งานของ Edgar Degas (1834–1917) และ Georges-Pierre Seurat (1859–1891) ชี้ความคล้ายด้วยลักษณะการฉีกกรอบการสร้างสรรค์ภาพผลงานในสตูดิโอออกไปยังพื้นที่โล่งแจ้ง เพื่อนำเสนอเรื่องราวที่สามัญธรรดาที่สุดให้เปิดเผยมุมมองที่ไม่สามัญ นำเสนอความงามแบบธรรมดาที่พบได้ในชีวิตนี้หาใช่ความงามในอุดมคติ การปิกนิคของคน 4 คนนี้จึงเป็นภาพชีวิตในวันหยุดอันสามัญธรรมดาที่ถูกนำเสนอให้เกิดการมุมมองและการตีความที่ไม่ธรรมดา

ความไม่ธรรมดาในภาพถ่ายที่แสนธรรมดานี้อยู่ที่วัตถุและองค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพและไม่ได้อยู่ในภาพ ทั้งสองประการนี้หล่อหลอมให้เกิดคำถามจากคำถามแรกที่ตั้งไว้คือเรื่องของความสัมพันธ์ซึ่งไม่ปรากฏในภาพ ต่อมาคือสิ่งที่ปรากฏในภาพ ได้แก่ การรินไวน์ในมือชายวัยกลางคนด้านซ้ายของภาพ ในฐานะที่ไวน์ของสิ่งสำคัญทางวัฒนธรรมชาวคริสต์ที่อาจถูกเชื่อมโยงไปสู่ความนัยต่าง ๆ ในวันของพระเจ้า และเรือตกปลาในแม่น้ำที่เป็นสัญลักษณ์ที่ว่าด้วยการเดินทางและความตาย ตลอดจนอากัปกริยาการหันหลังของบุคคลทั้ง 4 ในภาพถ่าย วัตถุต่างๆ นี้สามารถบอกเล่าความเชื่อมโยงถึงสัมพันธภาพและความหมายไว้ ซึ่งการพักผ่อน หรือปิคนิคของบุคคลทั้ง 4 คนที่เกิดขึ้นในเวลาว่างจากวันหยุดงานที่สามารถบอกเล่าถึงสามัญลักษณะที่พวกเขาจะพบเจอ นั่นคือ “ความตาย” หรือการพักผ่อนอันยาวนานหลังการทำงานชั่วชีวิต

ผลงานภาพถ่ายของ Henri Cartier-Bresson มักเป็นภาพข่าว-สารคดี เพื่อนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง เป็นภาพธรรมดาสามัญที่พบเห็นในชีวิตจริงในพื้นที่ และเวลาหนึ่งๆ ภาพถ่ายของ อ็องรีการ์ตีเย-แบรซง เน้นการตอบสนองของสมองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สัญชาตญาณ สุนทรีศาสตร์ความรู้เรื่องบริบทของสังคมการเมือง การรอคอย และเลือกที่จะบันทึกมุมมองหนึ่ง ๆ ของตนโดยการตัดสินใจในเศษเสี้ยวของวินาที (The Decisive Moment) เพื่อบันทึกเรื่องราว ณ ขณะจิตนั้นให้ตรงตามโลกทัศน์ที่เขามอง หรือเห็นมากที่สุด เพราะเขาตระหนักได้ว่าความสามารถของการถ่ายภาพนั้นสามารถบันทึกความเป็นนิรันดร์ของเรื่องราวเอาไว้ได้ และด้วยความที่เขาเกิดเป็นชนชั้นกลางที่มีอันจะกินทำให้เขาสามารถเดินทางไปยังที่อื่นๆ และมีส่วนร่วมสำคัญต่อเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลกเสมอ

ด้วยความที่แบรซงถ่ายภาพแนวข่าว หรือสารคดีที่ให้ข้อเท็จจริงเขาใช้เทคนิค “ถ่ายแบบตัวแบบไม่รู้ตัว” (candid) ทำให้เห็นอารมณ์ที่ชัดเจนของคน ดังนั้นใน Sunday on the Banks of the River Marne. 1938 เขาปล่อยให้กิจกรรมของตัวแบบดำเนินไปแล้วกดชัตเตอร์ โดยจัดวางองค์ประกอบให้คล้ายกับงานจิตรกรรมแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ (แบรซงเป็นคนที่ชื่นชอบวานรูป และงานจิตรกรรม) แรกทันทีที่มองภาพ มันก็คือเหตุการณ์ปกติในชีวิตประจำวัน คน 4 คนหรือ 5 คนในภาพอาจเป็นสามีภรรยาหรือเพื่อนที่มานั่งปิคนิกกันในวันหยุดงาน สิ่งที่เป็นกำแพงปิดกั้นความเข้าใจในรูปภาพคือช่วงเวลาที่ฉาบทับประวัติศาสตร์ของพื้นที่ และพื้นเพตัวแบบในภาพ

อย่างไรก็ตามไขมันที่ย้วยออกมาจากตัวแบบ ชวนให้ข้าพเจ้านึกถึงชนชั้นกลางและผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ใช้เวลาสบายๆ ริมแม่น้ำในกรุงปารีส แต่ผิดถนัด! นั่นเป็นภาพการพักผ่อนหย่อนใจของ ”ชนชั้นแรงงาน” ในฝรั่งเศสที่เพิ่งจะได้รับการประกาศให้มีวันหยุดอย่างเป็นทางการ

นำไปสู่บริบททางประวัติศาสตร์ในปี 1929 -1939 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิด The Great Depression in France ที่ได้ลากสภาพเศรษฐกิจฝรั่งเศส และยุโรปตอนกลางให้ตกต่ำลงอย่างหนัก ในช่วงฤดูหนาวปี 1932–33 ตามท้องถนนในกรุงปารีสมีคนตกงานและอดอยากจำนวนมากนำไปสู่การชุมนุมของกลุ่มแรงงานเสมอ ดังมีประโยคที่กล่าวไว้ว่า

“ฤดูหนาวที่ข้าใช้ไปบนท้องถนน — ฤดูหนาวของปี 32–33 — ก็ไม่ได้หนักหรือเบากว่าฤดูหนาวในที่อื่นๆ ; สายลมเย็นเยียบดังความปวดร้าวของกรรมกร — ไม่ว่าจะกินเวลายาวนาน นานขึ้น หรือสั้นลงของคาบเวลาที่ความเจ็บปวดจำนวนนั้นดำรงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวที่หิมะโหมและเยียบแข็ง ชายหลายพันถูกบังคับให้ออกจากงานของพวกเขาโดยวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยื้อยุทธเอาเงินเพนนีสุดท้ายไปจนสุดปัญญาของพวกเขา ในความสิ้นหวังนั้น ก็ได้ละทิ้งการต่อสู้”

นี่เป็นประโยคสำคัญเพราะในการเรียกร้องของกระบวนการงาน คือ การกำหนดสิทธิแรงงานในส่วนของค่าตอบแทน เวลางาน และวันหยุดเพื่อบรรเทาความต้องการบรรเทาความต้องการทางสังคมในช่วงที่ยากเย็นนี้

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 1932 สูญเสียเสถียรภาพ ซึ่งบีบคั้นให้ประชาชนต้องแสวงหาตัวเลือกทางการเมืองในความสิ้นหวังจากนโยบายการเงินกับพฤติกรรมยักยอกฉ้อโกงที่ที่ถูกเปิดเผย พวกนักชาตินิยม คอมมิวนิสต์ และตำรวจเกิดความระหองระแหงกันเนืองๆ จนนำไปสู่การจลาจลกลางกรุงปารีสในเหตุการณ์ 6 February 1934 crisis หลังจากการจลาจลนี้กลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย จับมือกันสู่กลุ่มการเมืองที่ชื่อว่า Popular Front ซึ่งกลุ่มนี้จะกลายเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งปี 1936 โดยนโยบายของพวกเขา คือ การร่างกฎหมายแรงงานใหม่ และเนื้อหาที่สำคัญคือการจำกัดเวลาในการทำงานเป็นมาตรฐาน คือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ซึ่งทำให้สามารถมีเวลาพักผ่อนที่ชัดเจนได้) การกำหนดค่าจ้าง และการประกาศให้มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ 12 วันในหนึ่งปีอย่างเป็นทางการ

Sunday on the Banks of the River Marne จึงเป็นเหตุการณ์สามัญที่แสนปกติในวันอาทิตย์ ช่วงปี 1936–38 ที่ทุกคนหยุดงาน ภาพของแบรซงจึงเป็นเสมือนภาพแทนของผลจากนโยบายของฝ่ายซ้าย มีความเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่ถูกฉาบโดยศิลปะการถ่ายภาพแบบสตรีต-อาร์ท แล้ววิธีการ Candid หรือการซ่อนกล้องโดยมีเหตุผลว่าเพื่อเก็บกิจกรรมที่ตัวแบบในภาพกำลังทำให้สมจริงตามอารมณ์ที่เป็นอยู่ที่สุด ยิ่งทำให้เห็นการเคลื่อนที่ของ “ชัยชนะของแรงงาน” ที่ยอมให้อุดมการณ์ฝ่ายซ้ายมาเป็นผู้นำ เพราะในช่วงปี 1936–38 สิ่งที่ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกากำลังหวาดกลัวคือการลัทธิฟาสซิสม์ที่เริ่มแพร่ขยายไปในฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี แบรซงซึ่งกำลังเริ่มเป็นที่รู้จักจากการได้แสดงงานในอเมริกา ก็มีส่วนทำให้ภาพของเขากลายเป็นภาพที่สร้างชุดข้อมูลบางอย่างขึ้นมา ประกอบกับผลของนโยบายเพิ่งเกิดใหม่ผู้คนยังชินและเห่อแนวนโยบายนี้ ดังนั้นข้าพเจ้ามองว่าภาพนี้กำลังทำหน้าที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อในตัวเอง เพื่อให้ผู้รับชมที่อยู่ฝั่งอเมริกา หรือฝรั่งเศสเห็นถึงผลของนโยบายฝ่ายซ้ายที่ และสนับสนุนในการต่อต้านฟาสซิสม์

และนี่คือเหตุที่เนื้อหนัง และไขมันของตัวแบบทั้ง 4 คนได้พาข้าพเจ้ามาไกลขนาดนี้ ใช่ความอุดมสมบูรณ์เจ้าเนื้อแบบชนชั้นมีอันจะกิน เวลาว่าง การพักผ่อน และภาพนี้คือกิจกรรมที่ดำเนินอยู่โดยที่ช่างภาพไม่ได้แทรก พักผ่อนนัยนี้มันคือการเย้ยหยันคู่ตรงข้ามลัทธิทางการเมืองอย่างเป็นตัวของเอง เหมือนมันกำลังตะโกนก้องออกมาว่า

“Left liberal I’m lovin’n it”

Henri Cartier-Bresson. Schoolchildren looking from the top of Notre-Dame Cathedral at the Seine River, 1955

ที่กล่าวไปเหล่าข้างต้นเป็นการมองภาพในเชิงประวัติศาสตร์ที่สร้างความหมายและความรู้สึกแก่ผู้ชม ทว่าสิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบกันคือองค์ประกอบและสิ่งที่แฝงเร้นในภาพ เช่น อากัปกริยาการหันหลังของตัวแบบทั้ง 4 คน ซึ่งต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะแม้ว่าช่างภาพจะกล่าวว่าเป็นภาพที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริงในเสี้ยววินาที แต่การจัดวาง “สิ่ง” ต่างๆ เหล่านี้เมื่อปรากฏเป็นวัตถุแล้วย่อมซ่อนความหมายทางสัญญะไว้โดยการกำหนดจากกรอบภาพที่สังคมที่สัมพันธ์กับผู้รับชมงาน

ภาพวางตัวแบบให้หันหลังสู่ผู้ชม เป็นการปฏิเสธเบื้องหลังเพื่อขับเน้นระยะเบื้องหน้า จุดสนใจของตัวแบบจึงนำสายตาเราไปที่แม่น้ำ Marne และเรือตกปลาที่จอดนิ่งอยู่ การหันหลังให้เช่นนี้เป็นการตอกย้ำการปฏิเสธตัวตนของกล้อง และมุ่งความสนใจไปที่เรือ ซึ่งเรือหาปลานี่เองนำไปสู่การพิจารณามันในฐานะวิถีการผลิตดั้งเดิมในแง่ที่ว่าวัฒนธรรมของชาวปารีสเริ่มที่สายน้ำ เพราะปลาเป็นอาหารและความสมบูรณ์ซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างวัฒนธรรม แต่การนั่งเรือตกปลาไม่ใช่ภาระหน้าที่ของผู้คนทั่วไปอีกแล้ว หากแต่เป็นกิจกรรมยามว่างในวันพักผ่อน ที่พวกเขาทั้ง 4 คนกำลังจ่อมจมกับมัน โดยปฏิเสธโลกของตนชั่วขณะไว้ด้านหลัง แต่มันหาได้แค่นั้น

การพุ่งความสนใจไปสู่แม่น้ำ Marne มีการจัดองค์ประกอบคล้ายกับงานหลายชิ้นของ แบรซง หนึ่งในนั้นคือ Schoolchildren looking from the top of Notre-Dame Cathedral at the Seine River,1955 นั่นคือการมีกลุ่มคน และแม่น้ำ ทว่าในภาพนี้กลับปรากฏการผุดขึ้นมาของหมู่ตึกในเมืองปารีส ซึ่งเป็นสิ่งที่คั่นระหว่างตัวแบบบนวิหาร Notre Dame และแม่น้ำแซน ทำให้การจ้องมองของตัวแบบที่เป็นเด็กนักเรียนนำสายตาเราไปสู่ความเข้าใจว่ากำลังชมทิวทัศน์ของปารีสมากกว่า ซึ่งต่างจาก Sunday on the Banks of the River Marne ที่ตัวแบบเผชิญหน้ากับแม่น้ำโดยตรง

แม่น้ำแซน มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน คือ คำว่า “Sequana” ซึ่งคำนี้ยังถูกพูดถึงในกลุ่มภาษา Anglo — Celtic นั่นคือเป็นนามของเทพีแห่งดินในวัฒนธรรมชาวเกาะอังกฤษ แต่ในฝั่งยุโรปเซควอนาเป็นเทพีผู้ปกป้องหมู่บ้านแซน หรือแม่น้ำแซน ซึ่งหากมองตามประวัติศาสตร์คนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณสองฟากฝั่งของแม่น้ำที่เรียกว่า Parisii โดยเป็นชาวเคลท์ ซึ่งจะมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ แม่น้ำแซนจึงรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นแม่น้ำแห่งชาติฝรั่งเศส เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวฝรั่งเศส ดังนั้น “เซควอนา” จึงเป็นภาพแทนของความเป็นฝรั่งเศสได้อีกนัยหนึ่ง

การพินิจมองแม่น้ำแซนและทิวทัศน์ของปารีสใน School children looking from the top of Notre-Dame Cathedral at the Seine River จึงเป็นเสมือนการพิเคราะห์ความเป็นฝรั่งเศสตลอดจนเรื่องราวมากมายที่ไหลไปตามแซน ไหลผ่านปารีส ไหลผ่านฝรั่งเศส เหล่าบ้านเรือน ร้านค้า ภูมิประเทศ เมืองชนบท สถานที่สำคัญต่างๆ ที่แซนไหลผ่านล้วนบอกเล่าเรื่องราวทั้งในด้านประวัติศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในภาพ School children looking from the top of Notre-Dame Cathedral at the Seine River เป็นการขยายมุมมองในการมองแม่น้ำแซน ให้รวมไปถึงการมองเห็นทิวทัศน์บางส่วนของปารีส เพื่อตอกย้ำมุมมองว่าที่แม่น้ำแซนเป็นภาพแทนของชาติฝรั่งเศสทั้งหมด แต่ทว่าใน Sunday on the Banks of the River Marne ไม่ได้ทำให้เห็นเช่นนั้น เพราะหากเรามองภาพโดยปราศจากคำบรรยายจะพบว่าตัวแบบทั้งสี่คนเผชิญหน้ากับแม่น้ำแห่งหนึ่ง อาจไม่ใช่แม่น้ำแซนก็ได้ ฉะนั้นหากปิดคำบรรยายโดยชื่อภาพไว้ก็จะสร้างความคลางแคลงใจแก่ผู้ชมได้ไม่น้อย และเมื่อความคลางแคลงใจในภาพแทนของแม่น้ำเกิดขึ้น คนทั้งสี่ก็ไม่ได้กำลัง “พินิจความเป็นฝรั่งเศส” อีกต่อไป

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ แบรซง ศิลปินผู้ได้ทิ้งเป็นคำใบ้ไว้ให้ในภาพก็ปรากฏอยู่ในคลองจักษุของตัวแบบทั้งสี่คนก็คือ “เรือ” เหมือนที่กล่าวไปแล้วว่าแม่น้ำแซนและปารีสมีเทพีที่คอยพิทักษ์ คือ เซควอนา เซควอนาเป็นเทพีที่ปรากฏขึ้นในรูปของสตรียืนบนเรือที่มีหัวคล้ายเป็ด (อาจเป็นเรือหงส์) และด้วยเรือที่ปรากฏในภาพเป็นเรือหาปลายิ่งตอกย้ำถึงภาพการตั้งรกราก และวัฒนธรรมของชนชาติฝรั่งเศสที่คู่กับแม่น้ำแซนมาตลอดเวลา แม่น้ำผสานกับเรือหาปลาจึงสร้างความเชื่อมโยงให้เราเข้าใจว่า “นี่คือแซน แม่น้ำแห่งกรุงปารีส” จึงอาจพอกล่าวได้ว่านี่เป็นการลดทอนรายละเอียดของชาติฝรั่งเศสลงมาเป็นตำนาน และตำนานถูกผนวกกับรูปภาพแม่น้ำ และเรือหาปลาอย่างสมบูรณ์ เพื่อสร้างความรู้สึกต่อรูปถ่ายทั้งสองนี้ในแนวเดียวกัน

ด้วยเหตุเหล่านี้ทั้งหมดจะสะท้อนให้เห็นว่าแท้จริง Sunday on the Banks of the River Marne ไม่ได้เป็นเพียงภาพข่าวที่แข็งทื่อไร้อารมณ์ แต่มันคือโฆษณาชวนเชื่อที่สร้างความรุนแรงทางอุมคติหลากหลายอย่าง เพราะการขับเคลื่อนจินตกรรมของผู้ชมไปสู่การตระหนักในชัยชนะของเสรีนิยม ต้องใช้การผูกสัญญะด้วยชาตินิยมฝรั่งเศส และที่สำคัญคือรากฐานความเชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับพระเจ้า

อ่านต่อ บทที่ 2 “วันมหาพระพรสู่จินตกรรมของผู้ชม”

--

--

Midyearstudy
Midyearstudy

Written by Midyearstudy

รวมบทความเขียนทิ้งขว้างไว้ข้างห้องมาไว้ที่นี่

No responses yet